ความแห้งแล้งในประเทศไทย
โดย
โสภณ ชมชาญ

           ความแห้งแล้งเป็นปรากฎการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก จะแตกต่างกันออกไปใน 3 ลักษณะ คือ ความรุนแรง ระยะเวลา และพื้นที่ที่ครอบคลุม
           ความแห้งแล้งทางอุตุนิยมวิทยา คือ “สภาวะที่ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย (average rainfall) มีค่าต่ำกว่าปกติ”

สาเหตุการเกิดความแห้งแล้ง
           1. เกิดจากการพัดพาของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้น และขาดความชื้นที่จะมาสนับสนุนให้เกิดฝนได้ ปริมาณฝนจะน้อยกว่าปกติ ทำให้เกิดสภาวะความแห้งแล้ง
           2. เกิดจากความผิดปกติของตำแหน่งร่องมรสุม ทำให้ฝนตกในพื้นที่ไม่ต่อเนื่อง โดยปกติร่องมรสุมจะเคลื่อนที่ตามแนววงโคจรของดวงอาทิตย์ผ่านประเทศไทย 2 ช่วง คือ ช่วงเดือนมีนาคมถึงกรกฎาคม เคลื่อนจากทิศใต้ไปทิศเหนือ และเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายนจากทิศเหนือลงมาทิศใต้ซึ่งในการเคลื่อนที่ทั้ง 2 ช่วง จะทำให้เกิดฝนตกในบริเวณที่เคลื่อนผ่านอย่างต่อเนื่องแต่ในบางปีตำแหน่งของการเกิดร่องมรสุมจะไม่ต่อเนื่องและไม่ชัดเจน จึงทำให้ปีนั้นปริมาณฝนจะน้อยกว่าปกติ
           3. เกิดจากความผิดปกติอันเนื่องมาจากพายุดีเปรสชั่นเคลื่อนผ่านประเทศไทยน้อยกว่าปกติ โดยปกติประเทศไทยมีพายุดีเปรสชั่นเคลื่อนผ่าน เข้ามาในช่วงฤดูฝนปีละประมาณ 3-4 ลูก ถ้าปีใดประเทศไทยมีพายุดีเปรสชั่นเคลื่อนผ่านเข้ามาเพียง 1-2 ลูก ปีนั้นประเทศไทยจะมีโอกาสเกิดความแห้งแล้ง
           4. เกิดจากสภาวะอากาศในฤดูร้อน ร้อนมากกว่าปกติ ซึ่งโดยปกติในช่วงฤดูร้อนบริเวณความกดอากาศสูงจากมหาสมุทรแปซิฟิคจะแผ่เข้ามาปกคลุมประเทศไทยเป็นครั้งคราว และถ้าปีใดความกดอากาศสูงดังกล่าวแผ่เข้ามาปกคลุมบ่อยครั้งและติดต่อกันเป็นเวลานาน อากาศของประเทศไทยในปีนั้นจะร้อนและเกิดความแห้งแล้งตามมา

ลมฟ้าอากาศที่เป็นเหตุให้ฝนตกในประเทศไทย
           1. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ เป็นลมที่พัดมาจากไซบีเรียผ่านประเทศจีน ซึ่งมีคุณสมบัติเย็นและแห้ง อีกส่วนหนึ่งผ่านทะเลจีนตอนใต้และอ่าวไทยจะนำความชุ่มชื้นมาสู่ภาคใต้ จึงทำให้ฝนตกชุกหนาแน่น ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป
           2. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน ประเทศไทยจะตกอยู่ใต้อิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เป็นลมที่พัดมาจากมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีคุณสมบัติร้อนและชุ่มชื้นทำให้ฝนตกทั่วทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง จะมีฝนตกชุกและหนาแน่น
           3. ร่องมรสุมหรือร่องความกดอากาศต่ำ หรือมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “แนวปะทะโซนร้อน” ซึ่งเป็นแนวปะทะพาดไปรอบโลก ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปะทะกันของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ แนวปะทะนี้จะเคลื่อนอยู่ระหว่างละติจูด 10 องศาใต้ ถึงละติจูด 25 องศาเหนือ หรือเคลื่อนตามหลัง DECLINATION ดวงอาทิตย์ 4-6 สัปดาห์ ประเทศไทยจะได้รับปริมาณน้ำฝนจากร่องมรสุมนี้มาก จะเห็นได้ชัดเจนในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม
           4. พายุหมุนโซนร้อน ประเทศไทยรับผลกระทบจากพายุหมุน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีถิ่นกำเนิดบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิคและทะเลจีนใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อมาถึงประเทศไทยจะลดกำลังลงเหลือเป็นพายุดีเปรสชั่น นานๆ จะมีพายุโซนร้อนหรือพายุไต้ฝุ่นผ่านมาสักครั้ง (เช่น ใต้ฝุ่นเกย์) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือและภาคกลาง จะได้น้ำฝนจากอิทธิพลของพายุในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ส่วนภาคใต้จะได้รับอิทธิพลของพายุหมุนที่เกิดในทะเลจีนใต้หรือก่อตัวในอ่าวไทย ในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม

ลักษณะภูมิอากาศของประเทศไทย
           ลักษณะภูมิอากาศทั่วไป
           ลักษณะภูมิอากาศของประเทศไทย ถ้าแบ่งตามระบบการจำแนกประเภทภูมิอากาศของเคิปเปน (Koppen’s classification) แล้วจะจัดอยู่ในภูมิอากาศเขตร้อน (Tropical climate) กล่าวคือ มีฝนตกมากและมีอุณหภูมิสูงตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ยของเดือนที่หนาวที่สุดสูงกว่า 18 องศาเซลเซียส ในภูมิอากาศเขตร้อนนี้ จะแบ่งเป็นเขตภูมิอากาศย่อยได้อีก 3 เขต คือ
           (1) ภูมิอากาศแบบร้อนชื้นสลับแล้ง หรือแบบทุ่งหญ้าสะวันนา (Tropical wet-dry climate or Tropical savannah climate : Aw) พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยมีภูมิอากาศแบบร้อนชื้นสลับแล้ง หรือแบบทุ่งหญ้าสะวันนา คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก บริเวณทางเหนือและทางตะวันตกของภาคตะวันออก ในเขตนี้จะมีฤดูฝน และฤดูแล้งสลับกันและจะแตกต่างกันอย่างเด่นชัด คือในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีฝนตกตลอดฤดู แต่ในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือหรือฤดูหนาวอากาศจะแห้งแล้ง
           (2) ภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน (Tropical monsoon climate : Am) เป็นภูมิอากาศที่มีฝนตกชุก แต่จะมีอย่างน้อย 3 เดือนที่มีฝนตกน้อยกว่า 62 มิลลิเมตร (2.4 นิ้ว) พื้นที่ที่มีภูมิอากาศแบบนี้ ได้แก่บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศไทย และภาคตะวันออกบริเวณ จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด
           (3) ภูมิอากาศแบบป่าฝนเขตร้อน (Tropical rainforest climate : Af) เป็นภูมิอากาศที่มีฝนตกชุกตลอดปี โดยทั่วไปฝนตกมากกว่า 1,500 มิลลิเมตร/ปี ไม่มีเดือนใดเลยที่มีฝนตกน้อยกว่า 62 มิลลิเมตร (2.4 นิ้ว) ได้แก่ บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกตั้งแต่ จังหวัดชุมพรลงไปจนจดชายแดน มาเลเซีย

ฤดูกาล
ประเทศไทยแบ่งได้เป็น 3 ฤดู คือ ฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน
           (1) ฤดูฝน เริ่มเมื่อลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย คือ ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม แต่อาจจะเร็วหรือช้ากว่านี้ได้ถึง 2 สัปดาห์ และจะสิ้นสุดประมาณกลางเดือนตุลาคม รวมเวลาประมาณ 5 เดือน
ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ฝนจะตกชุกในเดือนสิงหาคม และกันยายน ส่วนภาคใต้ของประเทศฝนจะตกชุกในเดือนพฤศจิกายน
           (2) ฤดูหนาว เริ่มเมื่อลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดเข้าสู่ประเทศไทย คือประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน จนถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธุ์ รวมเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งฤดูหนาว ในแต่ละภาคจะมีลักษณะแตกต่างกัน อากาศเย็นและแห้งแล้งจากประเทศจีน ซึ่งพัดมาจากทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะมาถึงภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน จึงทำให้ภาคทั้งสองหนาวในฤดูหนาว ส่วนภาคกลางซึ่งอยู่ในละติจูดต่ำลงมาอากาศไม่หนาวเย็นมากนัก ส่วนภาคใต้จะได้รับอิทธิพลจากอากาศหนาวเย็นของลมฝ่ายเหนือน้อยที่สุด
           (3) ฤดูร้อน เริ่มประมาณกลางเดือนกุมภาพันธุ์ไปจนถึงประมาณกลางเดือนพฤษภาคม รวมเวลาประมาณ 3 เดือน เมื่อลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนืออ่อนกำลังลงในเดือนกุมภาพันธุ์กระแสลมจากทะเลจีนใต้ก็เริ่มพัดเข้าสู่ประเทศไทยทางทิศใต้ หรือทิศตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นระยะเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนผ่านเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาทางซีกโลกเหนือ จึงเป็นระยะที่อากาศร้อนอบอ้าวและอาจจะมีพายุฤดูร้อนบ้างทางประเทศไทยตอนบน ส่วนภาคใต้ซึ่งมีทะเลล้อมรอบ อิทธิพลจากทะเลช่วยบรรเทาความร้อนจนทำให้อากาศไม่ร้อนนัก

Next>>