นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ได้ถูกทําลายลงอย่างต่อเนื่องจากการกระทำของมนุษย์ เป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเป็นอย่างมาก เป็นต้นเหตุทําให้เกิดมลภาวะต่าง ๆ และทําให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้.-
อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส
- ขั้วโลกเหนือจะไม่มีหิมะปกคลุมเป็นระยะเวลาครึ่งปีทําให้เส้นทางเดินเรือ Northwest Passage สามารถใช้งานได้นานขึ้น การขนส่งสินค้าจากยุโรปมายังเอเชียตะวันออกทําได้สะดวกขึ้น, โครงการ คอคอดกระ (ถ้ามี) จะประสบกับภาวะขาดทุน
- จะเกิดภาวะแห้งแล้งรุนแรงทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ผลผลิตจะลดลง ขาดแคลนอาหาร เกิดทะเลทรายใหม่ ๆ ในอดีต ฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ แต่การเปลี่ยนแปลง วงโคจรของโลกเพียงเล็กน้อย ทําให้อากาศอบอุ่นขึ้น เกิดการสะสมชั้นดินบางๆ จนกลายเป็นทุ่ง เลี้ยงสัตว์ที่ดีที่สุดของสหรัฐฯ ในยุคปัจจุบัน แต่ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น ความชื้นในดินจะลดลง หน้าดินก็จะแห้ง และถูกลมพัดหายไป กลับกลายเป็นทะเลทรายอีกครั้ง
- ประเทศอังกฤษ จะสามารถปลูกองุ่นและผลิตไวน์ได้ดีขึ้น ในขณะที่ผลผลิตองุ่นของฝรั่งเศสจะมีคุณภาพตํ่าลง อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น จะทำให้แนวสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมกับการปลูกองุ่นเลื่อนขึ้นไปทางทิศเหนือมากขึ้น ปัจจุบันนี้ อังกฤษมีไร่ไวน์มากกว่า 400 แห่ง และตอนนี้ก็เริ่มมีการทดลอง ปลูกต้นมะกอกในอังกฤษแล้วด้วย
อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส
- นํ้าแข็งบนกรีนแลนด์ ซึ่งธรรมชาติใช้เวลาสะสมมานานกว่า 150,000 ปี จะหายไป ระดับนํ้าทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบัน สุนัขลากเลื่อนที่กรีนแลนด์ถูกทอดทิ้งให้อดตายจํานวนมาก เพราะว่าหิมะบางลงจนไม่มีงานให้มันทํา - แมลงแปลกๆ จะเคลื่อนย้ายไปยังถิ่นที่อยู่อาศัยใหม่ๆ โดยเคลื่อนตัวไปยังเขต ทิศเหนือที่เคยหนาวเย็นมากขึ้น แมลงที่มาใหม่สามารถสร้างความเสียหายแก่ต้นไม้ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ในท้องถิ่นเดิม อย่างราบคาบ
- เมื่อสุนัขลากเลื่อนและหมีขั้วโลกเหลือเพียงตํานาน, ที่ราบทุนดราที่แสนกันดารก็จะกลายเป็นแหล่งป่าไม้ใหม่
- โลกจะสูญเสียแนวปะการังไปเกือบทั้งหมดเนื่องจากปรากฏการณ์ฟอกขาว สัตว์นํ้าลดความอุดมสมบูรณ์ลงมาก มหาสมุทร ซึ่งถือเป็นอ่างรับคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นด่านแรกของกลไกซับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ โดยปรกติแล้วสิ่งมีชีวิตเล็กๆ หลายชนิดจะดูดซับเอาคาร์บอนใน นํ้าทะเล เพื่อนําไปใช้สร้างกระดูกหรือเปลือก แต่คาร์บอนไดออกไซด์ที่มากเกินไปจะทําให้นํ้าทะเลเป็นกรดมากขึ้น และไปขัดขวางกระบวนการดูดคาร์บอน
อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียส
- เป็นจุดที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าเราจะไม่สามารถย้อนกลับหรือหยุดยั้งกระบวนการโลกร้อนได้อีกต่อไป
- ขั้วโลกเหนือจะไม่มีนํ้าแข็งในหน้าร้อนอีกต่อไป, ป่าฝนอะเมซอนจะมีสภาพแห้งแล้ง ยอดเขาแอลป์ไม่เหลือชั้นนํ้าแข็ง
- พายุรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นในความถี่ร้อยปีต่อ 1 ครั้ง จะเกิดบ่อยขึ้นจนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา และจะต้องปรับเพิ่มมาตรวัดความเร็วพายุใหม่
- El Nino กลายเป็นปรากฏการณ์ปรกติธรรมดา เหมือนย้อนกลับไปสู่โลกในยุคพาลีโอซีน (Paleocene)
- คลื่นความร้อนเกิดขี้นทั่วทวีปยุโรป จนหลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดา เหมือนกําลังอาศัยอยู่ในตะวันออกกลาง (เหมือนเหตุการณ์คลื่นความร้อนที่เคยเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2003 ทําให้มีผู้เสียชีวิตทั่วยุโรปสูงถึง 3 หมื่นคน)
- กระบวนการสังเคราะห์แสงจะหยุดชะงักลง พืชเก็บออกซิเจนไว้และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศแทน
อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 4 องศาเซลเซียส
- เมืองตามปากแม่นํ้าจะจมทะเลถาวร, จะไม่เหลือธารนํ้าแข็งบนภูเขาหิมาลัยอีกต่อไป แม่นํ้าคงคา จะหายไปจากแผนที่โลก
- ทิศเหนือของแคนาดาจะเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว, ชายหาดแถบสแกนดิเนเวีย จะกลายเป็นที่พักร้อนแห่งใหม่ของยุโรป
- ธารนํ้าแข็งด้านทิศตะวันตกของขั้วโลกใต้ จะละลายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงทุ่งนํ้าแข็งในบริเวณใจกลางทวีป
อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 5 องศาเซลเซียส
- หิมะและนํ้าในชั้นหินที่คอยหล่อเลี้ยงเมืองใหญ่ จะเหือดแห้ง, จะเกิดพื้นที่ที่มนุษย์อยู่อาศัยไม่ได้ในเขตอบอุ่นเดิม
- ระบบสังคมจะล่มสลาย, คนจนจะถูกทอดทิ้ง จะเกิดการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานโดยมีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
- จะเกิดการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรที่เหลืออย่างรุนแรงระหว่างชนชั้นเหมือนที่เห็นในการ์ตูนหรือภาพยนตร์ไซไฟ
อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 6 องศาเซลเซียส
- มหาสมุทรจะกลายเป็นสุสานแห่งความตายไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้, ทะเลทรายจะเกิดครอบคลุมพื้นที่ทั้งทวีป
- ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะกลายเป็นเรื่องปรกติที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้. กรมอุตุฯ กลายเป็นหน่วยงานที่โลกลืม
- มนุษย์จะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปและเกิดเผ่าพันธุ์ใหม่ครอบครองโลกนี้แทนในระหว่างที่โลกกําลังปรับคืนสู่จุดสมดุล
**** หมายเหตุ ข้อมูลจากหนังสือ Six Degrees ****
|